ค้นหาบล็อกนี้

เหตุแห่งสงคราม (ภาคสวรรค์ 2)


กำเนิด”อสูร”

ก่อนอื่นจะพูดถึงสิ่งที่เรียกกันว่าอสูร คำว่าอสูรนั้น ตามความเข้าใจของทุกคนแล้ว คงจะหมายถึง พวกยักษ์ เขี้ยวโง้ง ร่างกายสูงใหญ่ กินเนื้อสัตว์ เนื้อคนเป็นอาหาร มีความโหดเ***้ยมอำมหิต แต่แท้จริงแล้วอสูรนั้นไม่ใช่ยักษ์หรือสัตว์ประหลาดแบบนั้นเช่นที่ทุกคนเข้าใจ

คำว่าอสูรนั้น เดิมทีแล้วมาจากคำว่า “อสุรา” แปลตรงตัวเลยว่า ผู้ไม่ดื่มสุรา ซึ่งเป็นคำเรียกขานที่ตั้งขึ้นมาเฉพาะกลุ่ม และกลุ่มที่ตั้งนามนี้เรียกขานตนเองนั้น แท้จริงแล้วคือเทวดาอีกกลุ่มหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาก่อน แต่ภายหลังเสียท่าถูกพระอินทร์จับโยนลงมาจากเขาทุกตน จึงต้องกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าอสูร และอาศัยบนพื้นพิภพไป 

เรื่องมันเริ่มจากตรงไหน ก่อนอื่นเลยเรื่องนี้เป็นความเชื่อทางพุทธศาสนา ซึ่งจะขอเล่าย่อๆ เรื่องนั้นเริ่มที่ปราสาทราชวังหรือทิพย์วิมานบนยอดเขาสุเมรุ ก่อนที่พระอินทร์ กับ พรรคพวกเทวดาของตนจะได้อุบัติขึ้นมาเป็นเทพบนสวรรค์ดาวดึงส์อันเป็นสวรรค์ชั้นที่สองนั้น ก่อนนั้นยังไม่ได้มีชื่อว่าดาวดึงส์อย่างทุกวันนี้ พูดง่าย ๆ ก็คือยังไม่มีการตั้งชื่อนั่นเอง

ดินแดนแห่งนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของเทวดาที่สร้างบุญบารมีมาตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ เทวดาพวกนี้มีชื่อเรียกว่าเนวาสิก โดยมีเทพผู้เป็นหัวหน้า มีนามว่าอสัมพระ มีเทพบุตร เทพธิดา นางฟ้า เป็นบริวารมากมาย 

ต่อมาเทวดาองค์หนึ่งนามว่ามฆกับเทวดาอีก 32 ตน ได้ขึ้นมายังสวรรค์ชั้นนี้ อสัมพระหยั่งรู้ได้ว่าเทวดากลุ่มนี้ที่ขึ้นมาได้สะสมบุญบารมีไว้มากยิ่งกว่าตน จึงเกิดเกรงใจและจัดงานเลี้ยงต้อนรับเทวดากลุ่มใหม่นี้อย่างยิ่งใหญ่และตกลงใจที่จะมอบดินแดนสวรรค์ในชั้นนี้ให้เทพมฆและบริวารปกครองกึ่งหนึ่ง 

แต่มฆนั้นได้สะสมบุญบารมีมากจนหยั่งรู้ได้ว่าตนนั้นมีบุญญาธิการมากกว่าอสัมพระเทพและเหล่าเทวดาที่เคยอยู่ม่าก่อน จึงเกิดคิดว่าตนนั้นสมควรจะได้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ทั้งหมดมากกว่า และในระหว่างงานเลี้ยงนั้นได้มีการนำเอาสุราสวรรค์ที่เรียกว่าน้ำคันธบานมาเลี้ยงกัน ทางด้านมฆเทพจึงคิดแผนร้าย ด้วยการแอบสั่งการพวกบริวารของตนว่าให้แกล้งทำเป็นดื่ม พอเผลอให้แอบเททิ้ง แล้วแสร้งทำเป็นเมา จนเมื่อพวกเทวดาเนวาสิกทั้งหลายเมาจนไม่ได้สติแล้ว แล้ว ก็สั่งให้พวกบริวารทั้งหลาย จับพวกเนวาสิกโยนจากยอดเขาสุเมรุลงไปที่เชิงเขาจนหมดสิ้น 

เมื่อจัดการกับพวกเนวาสิกจนหมดสิ้นมฆเทพก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ โดยทรงพระนามว่า “สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า” โดยทั้งสามภพมักเรียกกันว่า “พระอินทร์” เรียกสวรรค์ชั้นนี้ว่าดาวดึงส์ แปลว่า “ถิ่นที่อยู่ของเทพสิบสามองค์”

หลังจากสถาปนาตนเองแล้ว ก็เกิดทิพยสมบัติ ปราสาท สวนสวรรค์ เหล่าเทพบุตร นางฟ้า ฯลฯ ขึ้นมาประดับบุญญาธิการมากมาย ทำให้สวรรค์ชั้นนี้น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิมหลายพันเท่า กลายเป็นสวรรค์ชั้นที่โด่งดังที่สุดในสวรรค์ทั้งหมด ทั้งที่อยู่เพียงแค่ชั้นสองเท่านั้น

กล่าวถึงพวกเทวดาเนวาสิก หลังจากที่ถูกจับโยนลงมายังเชิงสุเมรุ เมื่อฟื้นคืนสติหลังจากหายเมามายแล้ว ก็พากันร้องห่ม ร้องไห้ เสียดายปราสาท ราชวัง วิมานเมืองฟ้า ที่ตนอยู่อย่างสุขสบาย และพากันเสียใจที่ต้องเสียรู้แก่พวกมฆเทพ เมื่อพวกเขาหายโศกเศร้าแล้ ก็มาคิดได้ว่า ที่พวกตนต้องพากันตกระกำลำบากเช่นนี้ ก็เพราะน้ำคันธบานหรือสุราสวรรค์ ดังนั้นจึงพากันสาบานกันทุกตนว่า นับแต่นี้ต่อไป จนกระทั่งลูกหลาน พวกตนทั้งหลาย จะไม่ขอแตะต้องสุราอีก และเพื่อเป็นการเตือนสติไม่ให้หลงลืมในคำสาบาน จึงได้ขนานนามพวกตนเสียใหม่ว่า “อสุรา” แปลว่า “ผู้ไม่ดื่มสุรา” 






โชคยังดีที่พวกเนวาสิกก็ยังมีบุญญาธิการเหลืออยู่มาก จึงได้เกิดปราสาทราชวังขึ้นในถิ่นที่อยู่ใหม่ของพวกเขา แม้ว่าจะเทียบกับสวรรค์ไม่ได้ก็ตาม ที่อยู่ใหม่ของพวกอสูรนั้นอยู่แถบเชิงสุเมรุ มีน้ำล้อมรอบเป็นเกาะ เรียกขานกันว่า นครใต้พิภพ 

เป็นที่น่าสนใจและสงสัยอย่างมากถึงขั้นรุนแรงสำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องราวในพุทธศาสนาและเทวตำนานเช่นผม เพราะในทางพุทธนั้น ศีลข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ในทางพื้นฐานห้าข้อแรกนั้น การห้ามดื่มสุราคือศีลข้อสำคัญที่สุดของศีลห้า ด้วยความที่ว่า หากผิดข้อนี้แล้ว สามารถจะทำให้ผิดข้ออื่นไปด้วยได้ เนื่องจากความขาดสติ 

แต่เหตุใดบนสวรรค์ถึงมีของเช่นสุราได้ สวรรค์น่าจะเป็นดินแดนที่หลุดพ้นปราศจากกิเลสตัณหา แต่นี่กลับยังยึดติดอยู่กับวัตถุเช่นปราสาทราชวัง รวมถึงมีของต้องห้ามเช่นสุราอีก

เลยเกิดเป็นความสงสัยอย่างแรงว่า ความเชื่อเรื่องสวรรค์ทั้งหกชั้นและพรหมสี่นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะความเชื่อของศาสนาพุทธและฮินดูมาหลอมรวมกันเข้าไปหรือเปล่า ยิ่งดินแดนสุวรรณภูมิยุคแรกนั้นความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ค่อนข้างจะสูงมาก โดยอาณาจักรไทยในยุคแรกก็ได้รับอิทธิพลเรื่องนี้ของขอมเข้ามาเต็มๆ

ถ้าเช่นนั้นแล้ว สวรรค์นรกที่เราเชื่อกันเป็นรูปธรรมก็แค่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการไม่ให้คนเรากระทำความชั่วและทำความดีกระมัง  

แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตามแต่ ตำนานเรื่องนี้ก็เป็นการสอนใจเรื่องหนึ่ง และแสดงให้เห็นถึงอีกด้านของสิ่งที่เรียกว่าเทวดาอย่างทะลุปรุโปร่ง ในความเชื่อของคนเราเทวดาคือตัวแทนของความดี ส่วนอสูรคือตัวแทนของความชั่ว แต่หากใครได้รับรู้เรื่องนี้แล้วยังจะกล้าพูดออกมาได้เต็มปากว่าเป็นเช่นนั้นอีกไหม

นี่อาจเป็นกุศโลบายหรือวิธีการให้ไปคิดเอาเองอย่างหนึ่งในศาสนาพุทธก็เป็นได้...


ต้นกำเนิดความเป็นอมตะและการหักหลังของเหล่าเทพ

อันที่จริงบทความส่วนนี้น่าจะมีอีกชื่อว่า เปิดกลโกงเทวดา เพราะดูเหมือนจะเน้นโจมตีการกระทำของเทวดาเป็นหลัก แจ่แท้จริงแล้วตำนานเหล่านี้ล้วนแฝงความนัยเอาไว้ ที่สามารถเอามาใช้ในการมองโลกปัจจุบันได้
  “ทุกสิ่งไม่อาจมองจากผลลัพธ์ของมันได้”
“เรื่องจำนวนมาก มักตัดสินกันที่ผลลัพธ์”


สรุปคือได้ออกมาสองแนวคิด นั่นคือ จะดีเลวนั้นไม่อาจดูจากผลของมัน แต่ต้องดูที่เรื่องราวทั้งหมด ดูที่วิธีการ ดูที่เจตนา กับอีกแบบหนึ่งที่คนในปัจจุบันซึ่งมีชีวิตเร่งรีบมักมองอย่างหลังนั่นคือ มุ่งสนใจที่ผลลัพธ์ หากฝ่ายใดชนะก็เป็นเทพ ฝ่ายใดแพ้ก็เป็นมาร

ตำนานที่พูดถึงต้นกำเนิดความอมตะของเหล่าเทพก็เช่นกัน

ในครั้งอดีตกาล สมัยที่เทวดาและมารยังมีชีวิตเช่นมนุษย์ สามารถป่วยได้ ตายได้นั้น เหล่าเทพและมารทั้งหลายต่างรู้สึกกลัวความแก่ เจ็บ ตาย อันเป็นวัฎสงสาร และยังกลัวอีกว่าเมื่อได้ไปเกิดใหม่แล้วจะไม่สามารถมีชีวิตและมีบารมีเช่นเดิมอีก ต่างจึงพยายามแสวงหาวิธีเอาตัวรอด จากบ่วงกรรมนี้

พระพุทธเจ้าเองก็เป็นผู้ที่แสวงหาวิธีหลุดพ้นบ่วงกรรม แต่วิธีการของเทพและมารนั้นกลับต่างไปโดยสิ้นเชิง วิธีการของพระพุทธเจ้าเป็นการค้นพบสัจธรรม และทำให้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมในทางหลุดพ้นโดยไม่หลุดพ้นจากสภาพของกาย จะว่าเป็นการหลุดพ้นที่ตีความได้หลายแบบหรือการหลุดพ้นทางนามธรรมก็ได้ แต่สิ่งที่พวกเทพและมารกำลังจะทำคือการหลุดพ้นจากความแก่ตายในแบบรูปธรรมนั่นคือ มีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งนั่นไม่ใช่การหลุดพ้นบ่วงกรรมโดยแท้ แต่กลับเป็นการนำตนเข้าสู่บ่วงกรรมที่ดิ้นไม่หลุดยิ่งกว่าเดิม



  

ทั้งเทพ พรหม มารต่างประชุม ปรึกษาหาวิธีแก้มรณกรรม อันจะเกิดขึ้นแก่ตน ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะเป็นยุคก่อนกำเนิดพระพุทธเจ้า ความเข้าใจในการหลุดพ้นบ่วงกรรมจึงเป็นความเข้าใจที่ไร้เดียงสาเช่นเดียวกับมนุษย์เรารวมถึงตัวผมหากไม่ได้รู้จักศาสนาพุทธ 

เหล่าเทวดาและมารได้นำความไปปรึกษาบรรดาฤๅษีดาบสที่ป่าหิมวันต์ บรรดาเทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของเทพและมารทั้งหลาย ได้นั่งพิเคราะห์ดูด้วยญาณ ซึ่งมิได้ประกอบด้วยปัญญาหยั่งรู้ ก็ได้รู้วิธีที่จะเอาชนะมรณกรรมได้ ด้วยการหาของบริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์ทั้งพันชนิด และน้ำบริสุทธิ์ทั้งหมื่นโลกธาตุมารวมกัน และ คละประกอบด้วยเทพมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่หมื่นคาบ และใช้เทพโอสถที่มีชีวิตทั้ง 7 ชนิด บดเข้าด้วยกันด้วยภูเขาสิเนรุมาศ และใช้น้ำตาของพญานาคทั้ง 8 เป็นตัวผสาน

เมื่อเทพฤๅษีทั้งหลายได้รู้วิธีเอาชนะมรณกรรมแล้ว ก็แจ้งแก่บรรดาเทพและมาร ผู้เป็นลูกศิษย์ พร้อมกับให้แยกย้ายกันไปหาสรรพยาทั้งหลาย เทพและมารทั้งปวง เมื่อได้ฟังมาว่ามีวิธีที่จะเอาชนะมรณกรรมได้โดยการกวนยาวิเศษ (หรือ น้ำอมฤต) ก็โห่ร้องด้วยความลิงโลด แล้วจัดแบ่งหน้าที่ที่จะไปเอาของวิเศษทั้งหลายในทิศทางต่าง ๆ มารวมกัน


ครั้นเมื่อได้ของวิเศษมาครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เทพฤๅษีก็มีบัญชาให้พญาครุฑไปยกเขาพระสุเมรุ มาทำเครื่องบด แล้วให้พระธรณีเนรมิตสถานที่บด พร้อมทั้งสั่งการบรรดาเทพและมารทั้งปวง ให้เทของวิเศษทั้งหลายรวมกัน แล้วให้พญาครุฑวางเขาพระสุเมรุทับ แล้วสั่งให้พญานาคทั้งเจ็ดเนรมิตกายให้ยืดยาวประดุจดังเชือกเส้นใหญ่ทั้งเจ็ดรวมกัน ให้เทวะทั้งหลายจับปลายเชือกด้านซ้าย ยักษ์และมารทั้งหลายจับปลายเชือกด้านขวา เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของเทวดาอยู่ด้านหน้า เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของยักษ์และมารทั้งหลายอยู่ด้านหลัง ทั้งสองด้านได้พร้อมกันสาธยายเทพมนต์ ในขณะที่เทพและมารช่วยกันฉุดเชือกนาค เพื่อให้เขาพระสุเมรุนั้นหมุนไปทางด้านซ้ายและขวา โดยมีพญาครุฑคอยหัวเหาะพยุงเขาพระสุเมรุอยู่ด้านบน ยาทิพย์นี้ใช้เวลาบดอยู่เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวันจึงจะสำเร็จ

       
ในขณะที่กำลังบดยาทิพย์ด้วยความขะมักเขม้น เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ออกอุบายให้ยักษ์และมารทั้งปวงออกกำลังดึงแต่ฝ่ายเดียว เมื่อถึงคราวที่ฝ่ายตนจะดึงก็พากันใช้นิ้ว เอื้อมไปแหย่สะดือพญานาค เมื่อพญานาคโดนแหย่สะดือ ก็ให้รู้สึกแสยง ยกตัวให้สั้นลง ในขณะที่ยักษ์ทั้งหลายดึงอยู่ด้วยก็ทำให้เขาพระสุเมรุหมุนไปทางเทวดา ทำให้ดูประหนึ่งว่า เทวดาดึงให้หมุนด้วยกำลัง และเป็นจังหวะที่เทวดาทั้งปวงส่งเสียงให้เหมือนว่ากำลังจะออกแรงอย่างเต็มที่ ทำอยู่ดังนี้ตลอดไป เจ็ดปี เจ็ดเดือน และเจ็ดวัน


ครั้นเมื่อยาทิพย์ปรุงสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เทพฤๅษี พญาครุฑ พญานาค ยักษ์มาร ทั้งหลายก็พากันอ่อนแรงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เหล่าเทวดาทั้งหลายเห็นได้ที ก็ชิงเอายาทิพย์ทั้งหลาย เหาะขึ้นไปยังทิพย์วิมานของตน 


ตรงจุดนี้บางตำนานก็กล่าวว่า ฝ่ายเทพใช้การมอมเหล้าพวกยักษ์มาร จนเมาและหลับจากนั้นก็ขโมยดื่มเอาน้ำอมฤตแทน ทำให้พวกยักษ์มารสาบานตนจะไม่แตะสุราอีกและเรียกตัวเองว่าอสูร ซึ่งจะคล้ายกับตำนานของพวกเนวาสิก 


กล่าวฝ่ายพญามาร ยักษ์ ครุฑ และนาคทั้งหลาย เมื่อได้สติฟื้น ก็ได้พากันมาสำรวจดูยาทิพย์ จึงได้รู้ว่าหายไปหมดแล้วพร้อมกับหมู่เทวดาทั้งปวง ก็พากันโกรธแค้นเทวดา แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะครูฤๅษีได้ห้ามไว้ว่า เมื่อเทวดานั้นได้กินยาทิพย์นั้นเข้าไปแล้ว จักเป็นผู้มีเดช มีอานุภาพมาก และฆ่าก็จะไม่ตาย พวกตนไม่สามารถต่อกรได้ พวกมารทั้งหลายต่างก็เก็บเอาความเจ็บแค้นเอาไว้แล้วพากันกลับไปยังที่อยู่ของตน


ในหมู่ของมารทั้งหลาย ยังมียักษ์ตนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า อสุรินทรราหู ซึ่งเป็นบุตรของ นางยักษ์ชื่อวิปจิตกับ เทพชื่อพฤหัส ได้ครุ่นคิดเคียดแค้นแน่นอยู่ในอก คิดหาวิธีที่จะชิงเอายาทิพย์กลับคืนมาจากเทวดาให้ได้ คิดไปคิดมาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า บิดาของเราคือพระพฤหัส ซึ่งเป็นเทวดา ถึงเราจะมีมารดาเป็นยักษ์ แต่เราก็มีเลือดของพ่ออยู่ด้วย ถ้าเราแปลงกายเป็นเทพไปเข้าร่วมหมู่ของเทวดาเพื่อจะขอแบ่งยาทิพย์ พวกเทพเหล่านั้นคงจะจับเราไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเทพเหล่านั้นจะสามารถสัมผัสกลิ่นอันเป็นทิพย์ได้ เราก็มีกลิ่นกายของเทวดาอยู่ในตัวเหมือนกัน พวกมันคงจะไม่รู้ว่าเราแปลงกายไป คิดดังนั้นแล้ว อสุรินทรราหูร่ายเวทย์จำแลงกายเป็นเทวดา แล้วก็เหาะขึ้นไปสู่เทวสภาพร้อมกับเข้าไปสู่หมู่ของเทวดาทั้งหลายเพื่อขอส่วนแบ่งยาทิพย์ 

ขณะนั้นเหล่าเทวดาทั้งหลายก็กำลังประชุมฉลองชัยชนะ ที่สามารถใช้กลอุบายเอาชนะพญามารและยักษ์ทั้งหลายได้ พร้อมกับชิงเอายาทิพย์มาเป็นของตน ได้สำเร็จ และแจกจ่ายยาทิพย์ให้แก่เหล่าเทวดาทั้งหลาย


ขณะนั้นอสุรินทรราหูก็ได้รับส่วนแบ่งยาทิพย์กับเขาด้วยเมื่อได้ยาแล้วก็รีบกลืนยาวิเศษนั้นทันที ยาก็ได้สำแดงเดช ทำให้อสุรินทรราหูและเทวดาทั้งปวงมีอาการมึนเมาไปกันทั่วหน้า มนต์ที่จำแลงแปลงกายก็คลายออก เทพอาทิตย์ และจันทร์ ได้สังเกตเห็นว่า อสูรแปลงกายมากินยา ก็พากันโวยวาย และเรียกพวกเทวดาให้ช่วยกันจับ เป็นที่ตะลุมบอนโกลาหล แต่ก็ไม่อาจจับได้
ในที่สุดก็ต้องเป็นพระนารายณ์ที่ต้องลงมือเองด้วยการขว้างจักรไปตัดร่างของอสุรันทรราหูจนขาดสองท่อน แต่อสุรินทรราหูซึ่งเป็นอมตะไปแล้วก็ไม่ตาย ถึงกระนั้นร่างครึ่งหนึ่งก็ถูกจับเอาไว้ที่สวรรค์ 

และราหูผู้นี้ก็กลายเป็นอสูรอมตะหนึ่งเดียวในหมู่อสูรที่คอยกลืนกินเทวดา โดยที่พวกเทวดาไม่อาจทำอะไรได้ 

ดังเฉกเช่นดาวราหูที่บดบังดาวดวงอื่นๆนั่นเอง


ความอมตะนี้จะว่าไปก็เป็นความอมตะในแง่ของการมีชีวิตไม่แก่ไม่ตาย แต่จะเห็นได้ว่าหากมีผู้มีอำนาจมากกว่า เหล่าเทวดาก็ตายได้เช่นกัน และความอมตะนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้เหล่าเทวดาหลุดพ้นความวุ่นวายเลยสักนิด

นี่อาจเป็นการชดใช้ของเหล่าเทวดาที่โกงเหล่ามารก็เป็นได้...

ในทางฮินดูนั้นพูดถึงตำนานของเหล่าอสูรต่างไปเล็กน้อย โดยการกล่าวอ้างว่าพวกอสูรทำความเดือดร้อนแก่สวรรค์และมนุษย์จึงถูกพวกเทพโยนลงมา แต่เมื่อพิจารณาจากความนัยที่ว่าประวัติศาสตร์มักดูที่ผลลัพธ์แล้ว น่าจะพูดว่างานนี้ผู้ชนะของการชิงอำนาจบนสวรรค์อย่างเหล่าเทพจะพูดอย่างไรก็พูดได้




by EAGLE

สงวนลิขสิทธิ์โดย © Mythland.org All Right Reserved.